เราทำบล็อกนี้ขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

สมุนไพรต้านมะเร็ง

สมุนไพรต้านมะเร็ง
โดย พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ภัทราพร ตั้งสุขฤทัย




              

                จากข้อสรุปที่ว่าร่างกายของคนเรามีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ถ้าร่างกายเรามีภูมิต้านทานที่ดีมีความสมบูรณ์ แข็งแรง ก็จะสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ ดังนั้นระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกทำลายด้วยวิธีต่างๆ ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อมะเร็ง ได้แก่ การกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง อาหารมีสารพิษ ไม่สะอาด มีสารก่อมะเร็ง การไม่ออกกำลังกาย ความเครียด การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารพิษรอบๆ แล้ว ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทั้งนั้น ดังนั้นการป้องกันการเกิดมะเร็งที่ดี คือ การมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารที่เน้นเป็นอาหารธรรมชาติ เส้นใย (fiber) สูง เช่น ผักพื้นบ้านที่อุดมไปด้วย วิตามิน เอ อี ซี สูง เช่น ผักใบเขียว กระเทียม หัวหอม ข่า  กระเทียม โหระพา ตำลึง มะระ ฯลฯ
 ตามที่มีข่าวลงในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 15 ธันวาคม 2543 เกี่ยวกับเครื่องปรุงในต้มยำกุ้งป้องกันการเกิดมะเร็งนั้น ในสูตรของต้มยำกุ้ง ประกอบด้วยเครื่องปรุงหลักที่เป็นสมุนไพร ดังนี้

 1. ข่า 2.ตะไคร้ 3.ใบมะกรูด 4.พริก 5. มะนาว

                ตามตำราการแพทย์แผนไทยพบว่า ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก มีรสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณตามตำรายาไทยช่วยขับลม ช่วยย่อย แก้ปวดท้อง ช่วยเจริญอาหาร และมีวิตามินซี ช่วยบำรุงร่างกาย กระดูกและฟัน
จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า
เหง้าข่า     มีน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ methyl cinnamate 48 % ,cincol 20-30 % น้ำมันหอมระเหยจากเหง้าข่ามีฤทธิ์ขับลมต้านเชื้อแบคทีเรีย และมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา นอกจากนี้ยังไม่พบพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรัง และไม่มีฤทธิ์ก่อสารกลายพันธุ์
ตะไคร้   ใบและลำต้นประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยและสารประกอบที่สำคัญ ได้แก่  citral 65-85%, myrcene, citronellal, geraniol , menthol , citxonellol, engenol  มีฤทธิ์ขับลม ลดการบีบตัวของลำไส้ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด
พริก  มีสารสำคัญคือ มีวิตามินซีสูง มีสารที่มีฤทธิ์เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์แต่ในขณะเดียวกันสารแคบไซซินในพริกจะทำให้เกิดการระคายเคือง ไม่ควรใช้ในปริมาณมาก โดยเฉพาะรายที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
ใบมะกรูด  มีน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ช่วยขับลมในลำไส้
มะนาว   ผิวเปลือกมีสารสำคัญเป็นน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ส่วนน้ำมะนาวมีสาร slaronoid , oranic  acid , citral และวิตามินซี ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด ขับเสมหะ แก้ไอ

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าในเครื่องปรุงต้มยำซึ่งเป็นอาหารไทยที่บรรพบุรุษได้ใช้กันมาอย่างยาวนานจนกระทั่งปัจจุบันไม่พบความเป็นพิษอีกทั้งยังมีสรรพคุณทางยาไทยช่วยขับลม ช่วยย่อย แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เจริญอาหาร และที่สำคัญเครื่องปรุงเหล่านี้มีเส้นใยอาหารมาก จะช่วยดูดซับสารพิษในลำไส้ระบบทางเดินอาหารและขับถ่ายของเสียได้ดี นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีข้อมูลทางวิชาการสนับสนุนว่าสมุนไพรแต่ละชนิดที่นำมาปรุงในต้มยำมีสารสำคัญช่วยยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ และยังมีรายงานยืนยันว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์



                นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรที่เป็นอาหารหลายชนิดที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งและมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์  ได้แก่
สมุนไพรต้านมะเร็ง
โดย พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ภัทราพร ตั้งสุขฤทัย




              

                จากข้อสรุปที่ว่าร่างกายของคนเรามีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ถ้าร่างกายเรามีภูมิต้านทานที่ดีมีความสมบูรณ์ แข็งแรง ก็จะสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ ดังนั้นระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกทำลายด้วยวิธีต่างๆ ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อมะเร็ง ได้แก่ การกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง อาหารมีสารพิษ ไม่สะอาด มีสารก่อมะเร็ง การไม่ออกกำลังกาย ความเครียด การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารพิษรอบๆ แล้ว ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทั้งนั้น ดังนั้นการป้องกันการเกิดมะเร็งที่ดี คือ การมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารที่เน้นเป็นอาหารธรรมชาติ เส้นใย (fiber) สูง เช่น ผักพื้นบ้านที่อุดมไปด้วย วิตามิน เอ อี ซี สูง เช่น ผักใบเขียว กระเทียม หัวหอม ข่า  กระเทียม โหระพา ตำลึง มะระ ฯลฯ
 ตามที่มีข่าวลงในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 15 ธันวาคม 2543 เกี่ยวกับเครื่องปรุงในต้มยำกุ้งป้องกันการเกิดมะเร็งนั้น ในสูตรของต้มยำกุ้ง ประกอบด้วยเครื่องปรุงหลักที่เป็นสมุนไพร ดังนี้

 1. ข่า 2.ตะไคร้ 3.ใบมะกรูด 4.พริก 5. มะนาว

                ตามตำราการแพทย์แผนไทยพบว่า ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก มีรสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณตามตำรายาไทยช่วยขับลม ช่วยย่อย แก้ปวดท้อง ช่วยเจริญอาหาร และมีวิตามินซี ช่วยบำรุงร่างกาย กระดูกและฟัน
จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า
เหง้าข่า     มีน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ methyl cinnamate 48 % ,cincol 20-30 % น้ำมันหอมระเหยจากเหง้าข่ามีฤทธิ์ขับลมต้านเชื้อแบคทีเรีย และมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา นอกจากนี้ยังไม่พบพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรัง และไม่มีฤทธิ์ก่อสารกลายพันธุ์
ตะไคร้   ใบและลำต้นประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยและสารประกอบที่สำคัญ ได้แก่  citral 65-85%, myrcene, citronellal, geraniol , menthol , citxonellol, engenol  มีฤทธิ์ขับลม ลดการบีบตัวของลำไส้ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด
พริก  มีสารสำคัญคือ มีวิตามินซีสูง มีสารที่มีฤทธิ์เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์แต่ในขณะเดียวกันสารแคบไซซินในพริกจะทำให้เกิดการระคายเคือง ไม่ควรใช้ในปริมาณมาก โดยเฉพาะรายที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
ใบมะกรูด  มีน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ช่วยขับลมในลำไส้
มะนาว   ผิวเปลือกมีสารสำคัญเป็นน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ส่วนน้ำมะนาวมีสาร slaronoid , oranic  acid , citral และวิตามินซี ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด ขับเสมหะ แก้ไอ

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าในเครื่องปรุงต้มยำซึ่งเป็นอาหารไทยที่บรรพบุรุษได้ใช้กันมาอย่างยาวนานจนกระทั่งปัจจุบันไม่พบความเป็นพิษอีกทั้งยังมีสรรพคุณทางยาไทยช่วยขับลม ช่วยย่อย แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เจริญอาหาร และที่สำคัญเครื่องปรุงเหล่านี้มีเส้นใยอาหารมาก จะช่วยดูดซับสารพิษในลำไส้ระบบทางเดินอาหารและขับถ่ายของเสียได้ดี นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีข้อมูลทางวิชาการสนับสนุนว่าสมุนไพรแต่ละชนิดที่นำมาปรุงในต้มยำมีสารสำคัญช่วยยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ และยังมีรายงานยืนยันว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์



                นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรที่เป็นอาหารหลายชนิดที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งและมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์  ได้แก่
กุยช่าย                    มะแว้งเครือ                            มะแว้งต้น                               ขมิ้นชัน
มังคุด                      หอมแดง                                กะเพรา                                  โหระพา
กระเทียม                งา                                           ขนุน                                      ชะเอม
ดีปลี                       ขมิ้นอ้อย                                มะนาว                                    ตำลึง
ถั่วลิสง                    ขิง                                          ตะไคร้                                    น้ำเต้า
พริก                        ผักกาดน้ำ                              มะขามป้อม                             สะเดา
พลู                          มะเขือพวง                             แมงลัก                                    ฟักทอง
มะละกอ                  มะม่วงสุก                              ฟักข้าว                                    มะปราง
มะกรูด                    มะอึก                                     มะขามเทศ                             ว่านหางจระเข้
มะเขือยาว               ส้มเขียวหวาน                         มะระขี้นก                               องุ่น



สมุนไพรไทยที่มีการวิจัยในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง
สมุนไพรไทยที่มีการทดลองในหลอดทดลองมีหลายชนิด ได้แก่
บวบขม                                  ขันทองพยาบาท                                    จำปีป่า
ปลาไหลเผือก                        ดองดึง                                                   ทองพันชั่ง
เจตมูลเพลิงแดง                      เจตมูลเพลิงขาว                                      ราชดัด
ฝาง                                        โทงเทง                                                  แสมสาร
จำปา                                      ขมิ้นต้น                                                 ฟ้าทะลายโจร
ปรู่                                          กระเทียม                                               ประยงค์
พลับพลึง                                รงทอง                                                   ข่อย
แพงพวยฝรั่ง                           สมอไทย                                                หญ้าปีกไก่ดำ
แกแล                                      กะเม็ง                                                    เครือเถาวัลย์
ทับทิม                                    มังคุด                                                     โล่ติ๊น
ไพล                                       จำปีหลวง                                               สีเสียด
สมอพิเภก                               ข้าวเย็นเหนือ                                         ลิ้นงูเห่า
ไฟเดือนห้า                            

สารคดีใต้ท้องสมุทร

ดอกไผ่บาน

อาหารสมอง

อาหารนับร้อย นับพัน นับหมื่นชนิดได้ถือกำเนิดขึ้นด้วยบรรพบุรุษของเราเป็นผู้คัดสรรว่าสิ่งใดที่กินได้หรือกินไม่ได้ จากนั้นก็ปรับเปลี่ยนปรุงรสให้อร่อยถูกลิ้นกลายเป็นสูตรอาหารต่างๆ และเริ่มเผยแพร่ต่อๆ กันมายังชนรุ่นหลัง โดย โดยใช้วิธีการถ่ายทอดหลายทางแต่ที่เด่นๆ คือ แบบปากต่อปากและถ่ายทอดลงตำราต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญยิ่ง

อาหารนั้นมีวิวัฒนาการเปลี่ยนไป เมื่อมีเกิดก็ต้องมีตาย อาหารบางรายการไม่มีใครรู้จักแล้ว หรือรู้จักวิธีการทำอาจต้องใช้วัตถุดิบที่หาได้ยาก หรือมีวิธีการปรับปรุงอันซับซ้อนจำเป็นต้องตัดขั้นตอนสำคัญบางส่วนทิ้งลงไปทำให้สูตรอาหารนั้นปรับปรุงง่ายขึ้นแต่ไม่ครบเครื่อง รูปลักษณ์และรสชาติของอาหารรายการนั้นก็จะเปลี่ยนไปด้วย

การบันทึกรายการอาหารต่างๆ ไว้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ้ง เปรียบประดุจว่าเป็นการบันทึกวิธีการปรับอาหารลงศิลาจาลึกเพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ค้นคว้า แม้ในโลกที่มีแต่เทคโนโลยีแสนเลิสล้ำนี้จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูง่ายไปเสียหมดหรือเพียงใช้กดปุ๋มคุรก็จะได้รับสิ่งที่คุณต้องการ ตั้งแต่เครื่องมือเครื่องใช้ไปถึงอาหารการกินคุณก็สามารถใช้นิ้วสั่งได้อย่างรวดเร็ว

เราไม่มีเวลามากพอที่จะอ่านนั่งอ่านสูตรอาหารเพื่อศึกษาส่วนประกอบและคุณค่าต่างๆ เมื่อถึงมื้อเราจะสนใจเพียงว่ามีอาหารร้านใดที่เป็นจานด่วนที่สุด อร่อยที่สุดเรื่องคุณค่าไว้คิดทีหลัง หรือไม่ก็เก็บไปคิดถึงวันที่ต้องนอนให้เกลือหยอดน้ำข้าวอยู่โรงพยาบาล เมื่อถึงวันนั้นจากตำราอาหารสารพัดก็ต้องเปลี่ยน เป็นตำรายาแทน

ชนชาติจีนซึ่งถือเป็นชนชาติที่ให้ความสำคัญกับอาหารมากเป็นอันดับหนึ่งและมีการรวบรวมสูตรอาหารต่างๆ ไว้อย่างชัดเจนที่สุด ยังไม่สามารถเก็บตำรายาและอาหารไว้ได้อย่างครบถ้วนเช่น ตำรา “ชินถังชู้” เป็นตำราที่สอนให้รู้จักวิธีการกิน โดยกล่าวถึงส่วนประกอบของอาหารว่าชนิดใด ควรกินในฤดูกาลใด เพื่ออะไร ซึ่งเนื้อความที่สมบูรณ์ของตำราเล่นนี้ได้หายไป ทำให้ชนรุ่นหลังไม่มีข้อมูลที่แท้จริง เพื่อศึกษาการปรุงอาหารบางชนิดที่เป็นสูตรลับเฉพาะ มีคุณสมบัติพิเศษในการรักษาโรคภัยต่างๆ เป็นที่น่าเสียดายยิ่ง

แม้ว่าเราจะมีเทคโนโลยีอันทันสมัย แต่หากไม่มีหนังสือ เทคโนโลยีเหล่านั้นก้ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ ณ เวลานี้ เราควรได้รับข้อมูลอย่าครบถ้วน เพื่อบำรุงสมองอันอ่อนแอให้แข็งแรงด้วยเสื่อผสม โดยการอ่านหนังสือ ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ไปด้วย เรื่องราวในหนังสือนั้นจึงเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่ทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงและร่างกายของเราก้จะแข็งแรงด้วยสูตรอาหารนานาชาติที่คุงคุณค่าดังเดิม

ที่มา : นิตยสารเคล็ดลับการกินเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

จากเว็บไซด์ http://www.krabork.com/

รวมเพลง - ILLSLICK

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ศิลปินผู้เสกสร้างงานศิลปะจากมโนภาพแห่งจิตสู่ผลงานบนผ้าใบ“เชฟแคนวาส”

เกียรติศักดิ์  ชานนนารถ:
ศิลปินผู้เสกสร้างงานศิลปะจากมโนภาพแห่งจิตสู่ผลงานบนผ้าใบ“เชฟแคนวาส”
                                                                                                                              มานะ   พิมพ์ชัย
           การทำงานศิลปะของศิลปินมีความคิดต่างๆมากมายขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบุคคลมาจากจิตที่อยู่ภายในใจและได้เก็บสะสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน    เพื่อรอการถ่ายทอดออกมาอย่างประทุพุ่งแห่งจิตนาการ  จากมโนภาพจนกลายเป็นภาพร่างที่ทรงพลังเปี่ยมด้วยความเชื่อและศรัทธาของชีวิตที่อยู่ในตัวตนศิลปินเอง  จึงเห็นได้ว่าศิลปินจะประสบความสำเร็จย่อมมั่นศึกษา  รู้จักสร้างงานศิลปะซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงตัวตนของศิลปินผู้มีทั้งความขยัน  ความเพียรเพื่อให้เยาวชนได้ยึดถือเป็นแบบอย่าง

ศาสตราจารย์เกียรติศักดิ์ผู้ประสบความสำเร็จ
          งานของศิลปินท่านนี้เชื่อกันได้หากทุกคนไอ้เห็นจะต้องนึกออกท่านที่เพระมีงานทั้งหลายเหล่านี้ถูกนำมาสอนหรือยกตัวอย่างในการศึกษาอยู่หลายครั้ง  ซึ่งศิลปินท่านนี้ก็ได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่มีอยู่มากมายทั้งในด้าน  การวาดเส้น  งานจิตกรรมหรือจิตกรรมสามมิติ รวมไปถึงงานสื่อผสม  เป็นบุคคลที่มีทักษะบวกด้วยฝีมือ  มีความชำนาญทางเทคนิค   และมีชั้นเชิงของความคิดที่ค่อนข้างสูงสังเกตได้จาการถ่ายทอดทางอารมณ์ผ่านผลอ มีพลังและความงามอันละเมียดละมัย  โดยมีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับชิวิตอย่างหลากหลาย อย่างสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมามรเครื่องที่การันตีได้ดีหรือรับรองเกียรติ์ของศาสตราจารย์เกียรติคือ เหรียญรางวัลต่างๆซึงถือว่าเป็นหนึ่งในศิลปินชั้นเยี่ยมของประเทศไทย ที่ได้ศึกษามาประมาณ14เหรียญซึ่งมีดังต่อไปนี้
      เหรียญทองแดง รางวัลเกียรติยศอันดับ 3 จำนวน 6 เหรียญ
     เหรียญเงิน         รางวัลเกียรติยศอันดับ 2 จำนวน 6 เหรียญ
    เหรียญทอง       รางวัลเกียรติยศอันดับ 1 จำนวน 2 เหรียญ
              ศิลปินบุคคลท่านนี้มีอุปนิสัยดี และยังมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลบวกทั้งมีความเป็นผู้นำในตำแหน่งงานการบริหารภาควิชาวิจิตรศิลป์ภายใต้คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง  จากนั้นก็ได้สร้างงานศิลปะจนมีชื่อเสียงด้วยเหรียญทองจากการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่41 ส่งผลให้กลายเป็นเจ้าคุณที่ดัง เป็นที่รู้จักกันในวงการศิลปะอยางรวดเร็วสถาบันแห่งนี้จึงถือได้ว่าไม่เป็นรองใครเลยทีเดียว
หลักการคิดในการทำงานของเกียรติศักดิ์  ชานนนารถผู้เสกสร้างงานศิลปะ
          ในการทำงานของศิลปินท่านนี้เขามีหลักความคิดที่ยึดถือและได้ปฎิบัติมาตลอด  เพื่อนเป็นเครื่องหมายและมีการวางแผนการทำงาน คือ
1.ให้ความสำคัญกับจิตใต้สำนึก (SUBCONSCIOS  MIND) เป็นตัวนำในการแสดงออกทางศิลปะ
2.มีเนื้อหาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตส่วนตัว
3.มีหลักธรรมของพุทธศาสนาชี้นำความคิด
         การสร้างงานศิลปะศิลปินจะต้องวาง(concept) ซึ่งศิลปินอย่างศาสตราจารย์เองก็มีการวางแนวคิด เพื่อสร้างงานศิลปะดังภาพต่อไปนี้
                        
                งานศิลปะแต่ละชุดแม้กระทั้งแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกันออกไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพสังคมหรือเรื่องราวมากระทบประทะความรู้สึกอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นแนวความคิด และอารมณ์สะเทือนใจ จึงสามารถที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นงานศิลปะได้  นอกจากนี้ศิลปินก็ต้องมีแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ก่อนหน้านี้ศาสตราจารย์ก็ได้รับอิทธิพลมาจาก“ศิลปะเซอร์เรียลีสต์”ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาศิลปินในลัทธิแห่งนี้ที่ศาสตราจารย์สนใจได้รับแรงบันดาลใจ ซาลวาเดอร์  ดาลี  จากนั้นจึงได้สร้างงานออกมาโดยวาง concept สะท้อนความจริงของจิตภายใน หรือที่เรียกกันว่า “จิตใต้สำนึก” นี้คือตัวอย่างงานที่ท่านได้ทำเป็นชุดในลักษณะงานเชฟแคนวาส

                 ผลงานทั้งหลายเหล่านี้ตีความในเรื่องจิต ศิลปินได้สร้างงานจากความพึงพอใจ ความมีอิสระจากการควบคุมด้วยเหตุผล ในการทำงานก็เป็นไปตามความจริงที่ว่าปล่อยให้จิตใต้สำนึกของตัวเองได้แสดงความจริงที่ซ่อนแร่นอยู่ภายในจิตใจแสดงออกมาอย่างเต็มที่  งานแต่ละชิ้นจะมีจังหวะสูง-ต่ำงดงามท่วงทำนองในตัวมันเอง มีสี รูปทรงชีวิตที่ซับซ้อน มีเนื้อหาที่ชัดเจน รูปทรงต่างๆได้ปรากฎอยู่ในจิตนาการคนดูอย่างต่อเนื่อง งานของศาสตราจารย์ได้สะท้อนประสบการณ์ชีวิตส่วนตัว    ทั้งในภาวะรู้สึกตัวและไม่รู้สึกตัว(สำนึกและไร้สำนึก)ที่เกิดจากตัวศิลปินเองที่ได้สะสมไว้ภายใต้จิตสำนึกแห่งอดีตจนเกี่ยวพันถึงปัจจุบันจนกลายเป็นงานศิลปะ


เทคนิคกับการวาดภาพจิตรกรรมชั้นเยี่ยมของเกียรติศักดิ์ 
        การทำงานจากการวางแนวทางมาเป็นชิ้นงาน  เราจะเห็นได้จากหลักความคิดและแนวความคิดของศาสตราจารย์ที่สร้างสรรค์พัฒนาการโดยมีเรื่องราวหรือภูมิหลังมาจากเรื่องราวในอดีต  ทำให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ จากนั้นจึงเกิดเป็นมโนภาพขึ้น  แล้วจึงถ่ายทอดมโนภาพนั้นออกมาเป็นภาพร่างแบบอัตโนมัติ  จากนั้นจึงได้เริ่มทำงานโดยการร่างภาพให้เป็นจิตกรรม ศาสตราจารย์กล่าวว่า   “เวลาร่างภาพมันเป็นการหลั่งไหลของการสร้างสรรค์ติดต่อกันในช่วงสั้นๆ ตั้งแต่เริ่มจินตนาการแล้วจบอัตโนมัติส่วนมากจะสมบูรณ์โดยไม่ต้องแก้ไขภาพร่างโดยรวมคือเนื้อหาจากเรื่องราวที่ข้าพเจ้าเจอะเจอและเป็นประสบการณ์ของข้าพเจ้าในอดีต”  การดำเนินและการสร้างงานเกิดจากมโนภาพร่างด้วยประกาและหมึกดำจากนั้นจึงนำมาขยายตามสัดส่วนโดยการตีตารางเพื่อสร้างงานจริง   การวาดและระบายสีจึงเป็นไปตามขั้นตอนที่วางไว้  การวางภาพขั้นแรกจะวางน้ำหนักขาว-ดำ  ซึ่งเหมือนกับการdrowing นั้นเองจากนั้นก็แปรค่าน้ำหนักให้เป็นสีส่วนประธานหรือจุดเด่นของภาพจะเห็นสีได้ชัดขึ้นซึ่งศิลปินแต่ละคนก็ย่อมมีเทคนิคของตัวเอง เช่น  ศาสตราจารย์ เกียรติศักดิ์  ชานนนารถ
          งานศิลปะแต่ละชิ้นจะมีความงามอยู่ในงานชิ้นนั้นๆไม่ว่าจะเป็นสีหรือเทคนิค  และงานจิตรกรรมของเกียรติศักดิ์  ชานนนารถเองก็เป็นจิตรกรรมส่วนใหญ่ใช้สีน้ำมันบนผ้าใบและเขียนภาพระบายสีที่มีรูปทรงประธานก่อนจากนั้นก็รูปทรงส่วนอื่นๆ  และเขียนตามพื้นหลังจะเขียนในตอนสุดท้าย และเทคนิคแบบนี้จะเขียนภาพซ้ำ2ครั้ง กล่าวคือ ครั้งแรกประมาณว่าระบายให้หมดคุมบรรยากาศ จากนั้นครั้งที่2หรือครั้งสุดท้ายจึงค่อยเก็บรายละเอียด  ภาพนั้นจึงจะสมบูรณ์
         หากต้องการเป็นศิลปิน การทำงานอะไรก็ตาม เราต้องรู้จักวางแผนกำหนดทิศทางให้ชัดเจนแล้วพยายามหาแนวทางภายใต้อารมณ์ความรู้สึกอกมา หาแรงบันดาลใจที่สามารถทำให้เกิดความสะเทือนใจของตนเอง  หากเราต้องการเป็นผู้ที่จะประสบความสำเร็จ จะต้องเป็นผู้มีความมุ่งมั่นต่อการทำงาน และรู้จักพัฒนาตัวเองเพื่อไปสู่ความก้าวหน้าของชีวิต หากสิ่งที่ได้กล่าวมานี้ตัวท่านเองไม่เคยคิดจะทำยังไงต่อเหล้าในอนาคต   เราจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลย ศิลปินต้องเป็นคนสร้างงานศิลปะและคนธรรมดาอย่างเราละจะทำยังไง เพื่อหาทางเดินให้กับชีวิต


อ้างอิง
หนังสือศิลปะfine  art







    
       




ลัทธิใหม่ : ศิลปะคืนเดียว กับเส้นทางการเดินของมานะ พิมพ์ชัย

ลัทธิใหม่ : ศิลปะคืนเดียว กับเส้นทางการเดินของมานะ พิมพ์ชัย
… หลายคนเคยกล่าวไว้ว่าผู้ที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานต้องมีองค์ประกอบที่จะเป็นเครื่องกระตุ้นและขับเคลื่อนไป ในที่นี่ข้อยกตัวอย่าง 3ค.เป็นหลักของผม คือ ความอยาก ความชอบ ความขยัน ในฐานะที่ผมเป็นนักเรียนศิลปะ การสร้างงานศิลปะไม่ได้สร้างแค่ทิ้งขว้างหรือเพียงผ่านๆ แค่ส่งอาจารย์เท่านั้นแต่หากจะสร้างงานเพื่อให้ผู้อื่นรับรู้ว่าผลงานแนวนี้เป็นของใคร ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณไม่มีความยากไม่มีความฝัน แล้วคุณจะเดินบนเส้นทางที่เรียกว่า ศิลปะได้อย่างไร…
ศิลปะคืนเดียวเกิดจากความชอบ หรือเพียงแค่เอาคะแนน?
ผมลองนั่งทบทวนหลายครั้งว่าผมคือนักเรียนศิลปะ ชอบดูงานศิลปะ และก็มีความฝันว่าอยากเป็นศิลปิน ผมสอบเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์สาขาทัศนศิลป์ก็เพราะความชอบและอยากลองศึกษา แต่เมื่อเลาเริ่มหมุนเวียนไป ผมเป็นนักเรียนศิลปะปี1 สิ่งที่ฝันเริ่มต้นไว้ไม่ง่ายเลย การทำงานศิลปะเริ่มมีปัญหาเมื่อวิชาเรียนไม่ได้สอนเพียงแค่วาดรูป แต่ยังมีอีกหลายวิชาที่มาเกี่ยวเนื่องกัน หลายคนอาจบอกว่าคำไม่มีเวลาเป็นข้ออ้างอาจจะจริงสำหรับบางคน แต่สำหรับบางคนคงเป็นเรื่องจริง เมื่องานที่อาจารย์สั่งเริ่มมากขึ้น กับกลายเป็นว่าผมต้องทำงานเอาคะแนน แต่ไม่ได้สร้างงานที่เกิดจากความชอบ แต่หรือไว้เพียงความขยัน
เมื่อทุกอย่างไม่เป็นตามแผนผมก็ต้องทำงานเอาคะแนนมากกว่าวิชานั้นบ้างวิชานี้บ้าง ส่วนความอยากไม่ต้องพูดถึงน้อยนิดเหลือเกินสำหรับผม เมื่อวันเวลายังคงเป็นแบบนี้เรื่อยๆ จนเกิดเป็นความเบื่อหน่าย เมื่อผมก้าวขึ้นปีสองผมนึกว่าจะดีขึ้น กับมองเห็นอีกว่ามีหลายคนที่เกิดภาวะเดียวกันกับผม เราจึงเรียกวิธีระบายสิ่งนั้นออกแต่ไม่ใช่การวาดรูปแต่เป็นการดื่มสุรา จากนั้นการทำงานก็เริ่มเปลี่ยนไปผมกับเพื่อนจะมาทำงานตอนกลางคืนที่คณะ ที่เขาว่านั้นล่ะครับ “ ศิลปินตะวันตก ” ก็รอให้พระอาทิตย์ตกดินสะก่อนผมถึงมาทำงานได้ ผมจะทำงานก่อนหน้าที่จะตรวจงา1-2วัน จะต้องเคลียร์วิชาอื่นให้เสร็จก่อน ผมไม่ได้อวดว่าตนเก่งหรอกแต่ผมมีการน หากบางครั้งทำงานเสร็จทันก็ดี อาจทำงานออกมาไม่ดี แต่ก็ยังมีข้อดีอีกมากมายที่ทำงานศิลปะตอนกลางคืน ก็อยู่ที่ว่ามีรุ่นพี่และเพื่อนอีกหลายกลุ่มมาทำงาน มีการลองเทคนิคที่น่าสนใจหลายอย่างจนบางครั้งผมก็ลืมไปว่าตัวเองก็มีงานต้องทำ
การใช้เวลากับวันว่างๆก่อนทำงานศิลปะคืนเดียวคับปม
การทำงานหากทำงานมากเกินไป เราก็ต้องพักผ่อน แล้วเมื่อหายเหนื่อยจึงค่อยกับมาทำงานใหม่จนตอนนี้ผมเกิดสภาวะที่เรียกว่า เซ็ง และไม่ได้มีแค่คนเดียวแต่ยังมีอีกหลายคนที่เป็นเช่นนี้ บางครั้งผมวาดรูปก็มีขวดเบียร์วางข้างเฟรมเหมือนเป็นเครื่องเตือนใจ เที่ยวพลับนั่งฉิวๆกับเพื่อน ร้องเพลง ดูหนัง และเล่นเกมส์ ทำทุกอย่างที่เขาเรียกว่าไร้สาระ กิจกรรมเหล่านี้ค่อยๆเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยที่ผมก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นภาวะไอ้บ้านี้ก็ดันเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน เพราะเพื่อนผมดันเกิดคนละวันรวมไปมาก็เกือบอาทิตย์แถบจะครบทุกวัน จึงทำให้ไม่มีเวลาทำงานและกว่าจะไปหาข้อมูลและลงพื้นที่ จึงต้องทำงานก่อนวันที่จะส่ง หากผมจะทำงานศิลปะที่ชอบผมจะยึดเอาเวลาก่อนหน้าที่จะตรวจงานเพียงวันเดียว มันเป็นการกระตุ้นและเป็นแรงให้ผม หลายคนอาจบอกว่าเป็นวิธีที่บ้า หากถามว่าแล้วงานเสร็จสมบูรณ์ไหม มันคงม่สมบูรณ์แต่ก็ได้ทำงานที่ถือว่าดีในระดับหนึ่ง
ผมแบ่งเกณฑ์สปิริตไว้สองส่วนในการทำงานศิลปะเพียงคืนเดียว คือต้องทำให้ได้70%อีก30%จะเก็บวันละนิดเพราะจะทำให้ผมห่างจากงานแล้วไม่ทำเลย แต่ถามว่าคนที่ทำงานทั้งวันทั้งคืนน่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีและทำตามถึงจะประสบความสำเร็จ อันนั้นผมเห็นด้วยแต่คงบอกว่าไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะงานศิลปะที่แท้จริงก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความขยัน แต่เพราะเกิดความเข้าใจในตัวงานศิลปะที่ทำต่างหาก การทำงานศิลปะบางชิ้นก็อาจเอาเวลามาวัด แต่ศิลปะบางชิ้นดูจากงานก็ค่อนข้างแสดงความรู้สึกออกมาได้ชัดเจน คนที่พยายามหาเหตุผลมาอ้างอย่างผมรู้ตัวดีผมถึงยอมรับและทำเวลาที่ตนเองเลือกเดินอย่าได้ผันแปรอีกเพราะตอนนี้เวลาที่วางไว้ก็ทำให้ผมผ่านมาได้จนทุกวันนี้

การทำงานศิลปะที่มีแนวช่วยคนง่ายๆได้เยอะ!
“แนว” นั้นคือสิ่งที่หลายคนบอกว่าทุกคนต้องมีทิศทางในการเดิน และบ่งบอกถึงสิ่งทีแสดงออกและทำให้ผู้อื่นรับรู้ได้ว่านี้คืองานศิลปะของใคร โดยที่เราไม่ต้องเขียนชื่อบอกเขา เพื่อจะให้ได้งานศิลปะดีๆเราจึงต้องมีการหาข้อมูลที่เป็นสถานที่จริงที่เราปะทะทางอารมณ์ทำให้เกิดความสะเทือนใจ การความรู้สึกพิเศษ และศึกษาหาเทคนิคมาช่วยเพราะถ้ารอแต่ฝีมือที่ไร้ความขยัน ไม่มีอารมณ์อยู่นั้นฝันที่วาดคงไม่สำเร็จ เทคนิควิธีการจึงเป็นตัวช่วยที่ดี ผมออกไปหาข้อมูลต่างๆเพื่อที่จะนำกับมา และในขณะเดียวกันก็ไปหาแรงผลักดันความอยากจากเวทีการประกวดต่างๆเช่นเดียวกัน ในห้องเรียนแรงกระตุ้นมีก็แค่ตอนอาจารย์แนะนำเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปแป๊บเดียวสิ่งเหล่านั้นก็หายไป เวทีประกวดศิลปะจึงเป็นแรงได้ดี โดยเฉพาะปัจจัยที่เรียกว่าเงิน ซึ่งที่เป็นแรงดึงดูดที่สำคัญ จึงจะเกิด3ค ได้ เราจึงต้องมีการทำงานที่ดีและแปลกใหม่และสิ่งที่จะทำให้งานมีประสิทธิภาพได้นั้นคือ คำวิจารณ์หรือคำแนะนำของอาจารย์ เราควรที่จะมีตริวเตอร์ ซึ่งอาจารย์ก็พร้อมจะเป็นที่ปรึกษาและคอยแนะนำให้เรารู้จักทำงาน วางแผนไปด้วยกันเพื่อให้นักเรียนของตนได้ประสบความสำเร็จ
ผลงานศิลปะกับลัทธิใหม่ศิลปะคืนเดียวที่ไม่ธรรมดา
งานศิลปะเหล่านี้คืองานที่ผมสร้างขึ้นภายในคืนเดียว และถือเป็นพยานถึงความตั้งใจถึงจะเป็นเพียงข้ามคืนแต่งานชุดนี้ก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวของชีวิตได้ดี



สำหรับแนวคิดในผลงานชุดนี้คือ
วิถีชีวิตชนบทอีสาน ถูกบีบรัด ผูกติดอยู่กับภาระทางครอบครัว การดำรงชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ชีวิตคนชั้นแรงงานเป็นภาพที่ข้าพเจ้าพเห็นบ่อยครั้ง ก่อเกิดแรงบันดาลใจ ในการสร้างสรรค์ผลงานชุดนี้ขึ้น
อย่างไรก็ตามลัทธิศิลปะคืนเดียวต้องขึ้นอยู่กับตัวของผู้สร้างงานศิลปะด้วยว่าตนมีความพร้อมมากน้อยเพียงใด ผมไม่ได้พูดให้ตัวเองดูดีแต่หากจะเลือกที่จะเป็นศิลปินตะวันตกย่อมไม่เป็นผลดีแน่ แต่คนที่พูดหรืออวดนั้นเขาทำได้จริงๆ ดังนั้นอย่างที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับผมทั้งหมดเห็นแล้วใช่ไหมว่าเป็นยังไง คุณจะเลือกที่จะต่อสู้กับภาวะบ้าๆหรือจะยอมจมดิ่งกับมัน ที่เป็นเรื่องราวไม่ค่อยดีการเป็นศิลปินผู้เสกสร้างงานศิลปะคุณเองต่างหากที่จะเป็นผู้ลิขิต ไม่ใช่สิ่งแวดล้อมบีบคุณ จึงจำเป็นต้องมีหลักการยึดถือและปฏิบัติตามเพื่ออนาคต และเป็นสะแห่งพานความสำเร็จ
บทความนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้นหากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
นางสาว หทัยชนก บุญมาก

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Painting From Life

คงจะดีนะ - Pijika [Official MV] รักนี้หัวใจมีครีบ

ศิลปะหลังเที่ยงคืน by สมองบวม


ามสอง..หนึ่ง.!! : ศิลปะหลังเที่ยงคืน
Next station ปีใหม่
___________________________________________________________________
การเดินทางของผมท่ามกลางผู้คนมากมายเข้าสู่คืนก่อนปีใหม่สุดครึกครื้น ปีนึงจะมีบรรยากาศพิเศษเช่นนี้สักครั้ง  และเหตุการณ์อันน่าจดจำมากมายได้เกิดขึ้นในคืนๆเดียว ไหนจะวัตถุศิลปะที่โยกย้ายส่ายสะโพกไปมาท่ามกลางแสงสียามราตรี ยิ่งใกล้สว่างมากเท่าไหร่ความชัดเจนของสายตาผมก็ยิ่งน้อยลงทุกที เหลือแต่สติเพียงเล็กน้อยที่จะพยุงร่างกายให้กลับถึงบ้านได้ ท้ายที่สุดแล้วการเสพศิลปะก็ต้องสิ้นสุดลง คงไว้แต่ร่องรอยของการกระทำที่ไม่มีทางหนีพ้น
            การรื้อฟื้นความทรงจำครั้งวันปีใหม่ 2555 ที่พึ่งผ่านพ้นไปไม่นาน เกิดปรากฎการเบียดเสียดกันของผู้คนเป็นจำนวนมากจนแทบจะขยับเขยื่อนไปไหนไม่ได้เลย เสียงเฮฮากู่ร้อง ครึกครื้นเป็นอย่างมาก เสียงการเฉลิมฉลองที่ดังซ้ำๆ ” สุขสันต์วันปีใหม่ครับ ค่ะ ”  พรุที่พุ่งขึ้นฟ้าเป็นสายดูเหมือนว่าจะไม่มีวันหยุดลง สว่างไปทั่วฟ้า มองๆดูแลเห็นแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้คน ซึ่งสะเทือนใจเป็นอย่างมากกับความสุขที่เอ่อล้นออกมาจากรอยยิ้มที่ได้มาร่วมเฉลิมฉลองร่วมกับใครหลายๆคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น รวมไปถึงผม ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นเอกของทางจังหวัดอุดรธานีและห้างร้านบริษัทต่างๆที่ร่วมมือกันจัดงานขึ้นเสมือนการบันทึกประวัติศาสตร์ลงไปในความทรงจำของคนทั้งจังหวัด
            นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นการฉลองเช่นกันแต่การฉลองของเหตุการณ์ที่จะกล่าวต่อไปนี้ได้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง มีทั้งรอยยิ้ม ความเบียดเสียด เช่นเดียวกับเทศกาลทั่วๆไป และที่สำคัญไปกว่านั้นผู้คนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกันในเหตุการณ์นี้ต่างก็มึนเมากับสุรากันทุกราย
คิดว่าทุกคนในที่นี้คงจะคิดเหมือนๆกันหลังจากกลับจาก UD PUB ว่าคงจะไม่มีวันลืมปีใหม่ ปีนี้ อย่างแน่นอน เพราะศิลปะที่เกิดขึ้นข้างในพลับแห่งนี้ทำให้เกิดความสะเทือนใจได้เป็นอย่างดี
ขอให้ความหมายไว้กับสถานที่นี้ซึ่งอัดแน่นไปด้วย ราคะ และ กิเลส เรียกได้ว่าศูนย์รวมของ อบายมุข ก็ว่าได้ สร้างความประทับใจให้แก่นักเที่ยวยามราตรีเป็นอย่างมาก
                ศิลปะ ศิลปะ เมื่อตัวผมเองได้ข่มตาลงก็เห็นเพียงแต่ร่างกายที่เปลื้องผ้าเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าต่อตาขยับเอวไปมาพลิ้วจนแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะต้องตอบโต้กลับไปด้วยการมองเธออย่างเสน่หา  ทั้งเธอยังส่งสายตาเชื้อเชิญให้ต้องหยุดสายตาอยู่ที่เธอ นึกถึงทีไรก็ยังอยากจะกลับไปยังช่วงเวลานั้น นี่คงเป็นศิลปะ PERFORMANCE ART ที่ส่งผลอย่างมากต่อใครหลายๆคนในช่วงขณะนั้นโดยที่ผู้คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการแสดงออกของพวกเธอเหล่านี้จัดได้ว่าอยู่ในกลุ่มของ PERFORMANC ART
วันที่ 31 ธันวาคม 2554 ณ ลานเบียร์ที่ทาง UD TOWN จัดเตรียมไว้สำหรับฉลองวันปีใหม่ให้แก่คนในจังหวัด ซึ่งเรียกได้ว่าสถานที่ตรงนี้เปรียบเสมือนแหล่งขุมทรัพย์ทางธุรกิจที่สำคัญของจังหวัดเลยก็ว่าได้ เปรียบเปรยถึง UD TOWN ได้ว่าเป็นปอดของอุดรธานี ไม่ว่าคุณต้องการอะไรหาได้จากที่นี่ทั้งหมด ซึ่งไม่ว่า ใครๆก็มาที่นี่ เพราะไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายระดับเกรด PREMIUMไปจนกระทั่งเกรดต่ำที่คนธรรมดาอย่างเราก็สามารถซื้อได้มากองไว้ที่ UD TOWN รวมไปถึงร้านอาหารดังๆอีกหลายร้าน อาทิ เช่น Oishi Mc donal Shabushi Sevensen และสินค้าแบกะดิน อื่นๆ อีกเป็นร้อยๆร้านจนไม่รู้จะพูดหมดตอนไหน ในวันๆหนึ่งมีนักท่องเทียวหลั่งไหลมาเที่ยว ณ ย่านแห่งนี้เป็นจำนวนมาก ที่ลานเบียร์แห่งนี้เองยังมีดนตรีแสดงสดทุกวัน แต่วันนี้พิเศษกว่าทุกครั้งเนื่องจากเป็นวันส่งท้ายปีเก่าทาง UD TOWN ก็ได้เชิญศิลปินค่ายGMM GRAMMY วง BIG ASS มาสร้างความสุขให้แก่พ่อแม่พี่น้องที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
 และแล้วก็ใกล้ถึงเที่ยงคืนเข้าไปทุกขณะดนตรีที่กำลังเล่นยิ่งดึกก็ยิ่งมันส์ขึ้นไปเรื่อยๆ    พอถึงท่อนฮุกของเพลงผู้คนต่างก็ช่วยกันร้องเพลงอย่างพร้อมเพียงกัน สายตาหลายคู่จับจ้องยังตัวเลขเวลาอย่างจดจ่อ  อีกไม่ถึง 20 นาที ก็จะถึงปีใหม่แล้ว ท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียดกันเข้ามาภายในงานเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะขยับไปไหนไม่ได้เลย ใบหน้าของผู้คนในขณะนี้ดูตื่นเต้นมากกับการที่จะได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันแห่งความสุขนี้ ทุกอย่างในช่วงเวลานี้เริ่มจะเข้าที่มากขึ้นกว่าเดิมมากเลยทีเดียวซึ่งถ้าเทียบกับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าคนยังดูบางตาเป็นอย่างมากแต่ตอนนี้จะเหยียบกันเลยก็ว่าได้ ผู้คนรอบข้างเริ่มผูกไมตรีต่อกัน บ้างก็ถามข่าวคราวกัน บ้างก็หยอกกับคนอื่น
 ดูทุกๆคนลืมไปเลยว่ากว่าจะมายืนสบายใจอยู่ได้ในตอนนี้ ก่อนหน้านี้ทำงานหนักมาแค่ไหน หาเงินมาตลอดทั้งปี ทั้งการกระทำที่เคยบ่นว่าเหนื่อย หรือแม้แต่ท่าทีอิดโรยต่อการทำงาน แทบไม่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าของพวกเขาเหล่านี้ ในทางตรงกันข้ามที่ใบหน้าของพวกเขาเหล่านี้มีแต่รอยยิ้มที่อิ่มอกอิ่มใจที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวของตัวเอง หรือหนุ่มสาวที่ได้มาอยู่กับแฟนของเขาเอง ณ ที่นี้ ตอนนี้ เวลานี้ ซึ่งในหนึ่งปีก็มีแค่ครั้งเดียวหรือเฉพาะเทศกาลเท่านั้นที่ผู้คนเหล่านี้จะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งกับครอบครัวคงไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่าพวกเขาไปอยู่ไหนมา ทำไมถึงไม่ได้อยู่กับครอบครัวเพราะตอบได้เลยว่าตอนนี้นอกจากครอบครัวแล้วก็ไม่มีสิ่งใดมาแทนทีได้ ณ ขณะนี้ ตอนนี้ผู้ใหญ่วัยกลางคน คนชรา  เด็กวัยรุ่น เด็ก ต่างพากันตะโกนขับขานเป็นเสียงเดียวกัน  สิบ…. เก้า…. แปด …………………………สาม สอง หนึ่ง !! แทบไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากสิ้นเสียงนับถอยหลัง
เบื้องหลังบานประตู           
ในช่วงเวลาหลังจากอยู่ในงานเฉลิมฉลองได้ไม่นานก็ได้ย้ายจากสถานที่แห่งนี้ไปยังสถานเริงรมชื่อดังแห่งหนึ่งของอุดรธานีที่ชื่อ  UD PUB หลังประตูนี้มีวัตถุศิลปะหลายชิ้นกำลังรอให้เราเข้าไปเชยชมมากมาย  หลักๆแล้วศิลปะมากมาย เหล่านี้คงไม่ใช่อะไรไปได้เลยคือ PERFORMANCE
PERFORMANCE เพอร์ฟอร์แมนซ์ เกิดขึ้นจากการที่ศิลปินต้องการสื่อสารกับคนดูโดยตรง มากไปกว่าที่จิตรกรรมและประติมากรรมสามารถทำได้ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินในสายทัศนศิลป์หลายคน ตั้งแต่กลุ่ม ดาด้า (Dada)จอห์น เคจ (John Cage) ผู้ซึ่งทำให้ความคิดแบบ ดาด้า เผยแพร่ที่นิวยอร์คในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และจากการที่ แจ็คสัน พ็อลล็อค (Jackson Pollock) ที่ทำจิตรกรรมแบบแอ็คชัน เพนติ้ง (action painting) สำหรับการถ่ายภาพยนตร์ในปี 1950      
ฉะนั้นแล้วผมเดินทางมาถูกที่ถูกเวลาพอดิบพอดี เดินผ่านประตูเข้ามายังใจกลางของศิลปะที่มีให้คุณเสพมากมาย เรียกได้ว่าเป็นประติมากรรมที่มีชีวิต ( living sculpture ) เดินสวนทางกันไปมาเต็มไปหมด เอาหล่ะ!! มาถึงแล้วก็ต้องหาที่นั่งเสียก่อน โต๊ะของเรานั่งติดกับขอบสระน้ำ ด้านนอกของตัวอาคารมองลึกผ่านทะลุกระจกเข้าไปจะเห็นคนจำนวนไม่น้อยเลย ราวๆ 100 200 คนโดยประมาณ มองออกไปนอกร้านจะมีรถจอดเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นรถจักรยานยนต์ รถยนต์มากมายผมคิดว่าสาเหตุที่วันนี้คนเยอะน่าจะมาจากสาเหตุเดียวเท่านั้นคือวันนี้เป็นวันปีใหม่  ข้างๆโต๊ะทั้งสองฝั่งมีสาวๆนั่งล้อมไว้ทั้งสองด้าน ดูท่าทางจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกผม คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น จากการที่สาดส่องสายตาไปทั่วบริเวณนั้น ไม่ว่าจะเป็นนอกตัวอาคารร้านก็ดี ในตัวอาคารก็ดี ก็ได้พบว่าการกระทำของคนส่วนใหญ่ ณ ที่แห่งนี้เหมือนพวกเขาได้ถูกปลดโซ่แห่งความอึดอัดจากพันธะทางสังคมหรืออะไรก็ตามที่ทำให้รู้สึกอยากจะมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ก็ตามแต่
ในยุคปัจจุบันสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ปล่อยจากภายในจิตใจที่อัดแน่นมานานรอวันที่จะทะลักอารมณ์ความรู้สึกของตนออกมา ร่างกายที่ขยับไปตามเสียงเพลงที่ดังกึกก้องอยู่ภายในห้องนั้นๆ   ทางทัศนศิลป์เรียกว่าการแสดงออกแบบ EXPRESSION ซึ่งอารมณ์ที่กระสวกออกมาจากภายใน ผ่านสมองแปลอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดให้ออกมาเป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วยการแสดงออกอย่างไม่มีถูกไม่มีผิดกันเลยทีเดียว ยิ่งใกล้สว่างมากเท่าไหร่ความชัดเจนของสายตาผมก็ยิ่งน้อยลงทุกที เหลือแต่สติเพียงเล็กน้อยที่จะพยุงร่างกายให้กลับถึงบ้านได้ ท้ายที่สุดแล้วการเสพศิลปะก็ต้องสิ้นสุดลง คงไว้แต่ร่องรอยของการกระทำที่ไม่มีทางหนีพ้น

การเดินทางของศิลปะที่เต็มเปี่ยมไปด้วย แสง สี เสียง มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของตัวนักแสดงเองที่กระตือรือร้นอยู่ตลอดที่จะสร้างความสุขให้แกบรรดาผู้คนมากมาย บนสถานที่แห่งความรื่นรมย์แห่งนี้ความน่าสนใจของศิลปะPERFORMANCEที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปลิ้มรสคือกลิ่นอายของวัฒนธรรมที่น้อยลงไปทุกทีหรือแทบไม่เหลือเลยในเวลานี้จะมีก็แต่ความเจริญก้าวหน้าและกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่รวดเร็วของเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ ไฟ แสง เพลงต่างๆ สื่อสมัยใหม่ ส่งผลให้วัฒนธรรมชาติตะวันตกเข้ามาครอบงำเราและผู้คนรอบข้างอย่างแนบเนียน
แท้จริงแล้วคนเรามีวิธีการรับรู้ความรู้สึกถึงสุนทรียภาพของวัตถุศิลปะที่แสดงออกมาตามแบบฉบับของตนเอง พิสูจน์ได้ง่ายๆเช่นจังหวะการเคลื่อนไหวของ สรีระและความสามรถของตัวนักแสดง ที่ตอบโต้กับจินตนาการของคนได้อย่างลงตัว ศิลปะในคืนนี้ได้สะท้อนตัวตนของนักแสดงออกมาอย่างมีเอกลักษณ์มองย้อนกลับมาในฐานะนักศึกษาศิลปะจะเห็นว่าเพียงขณะที่เราเข้าไปมีส่วนร่วมกับศิลปะที่อยู่ผิดที่ก็สามารถมองเห็นความจริงหลายอย่างว่าศิลปะมีผลกระทบอย่างไรต่อสังคม
บทความนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้มีจุดประสงค์ในทางเสื่อมเสีย