เราทำบล็อกนี้ขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แนะนำตัว


    บทความแนะนำตัว


นาย อดิเทพ  มีชัยเจริญยิ่ง







“ การเดินทางของนักเรียนสู่การเป็นนิสิตศิลปกรรมศาสตร์ ”
By สมองบวม
                บรรยากาศช่วงส่งงาน  Final ที่ครุกกร่นไปด้วย ความท้อ ความกดดัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีความสุขเล็กๆเกิดขึ้นภายในใจ กระทั่ง  Entrance  มาเพื่อศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ท้ายที่สุดก็ได้ลือกเดินบนถนนสายศิลปกรรม

                ข้าพเจ้า มีนามว่า  นาย อดิเทพ มีชัยเจริญยิ่ง เกิดที่ นครอุดรธานี มีอายุอยู่บนโลกนี้ได้ก็ 21 ปีแล้วผมเกิดมาบนหนทางของครอบครัว พ่อค้าแม่ค้า หาเช้ากินค่ำไปวันๆ ใช้ชีวิตลำบากมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยแต่ก็ไม่ถึงขั้นอัตคัด กระผมเองไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไหร่เนื่องจากวันๆก็จะอยู่ช่วยแม่ขายของทุกวัน เลิกเรียนเสร็จก็จะไปช่วยแม่เสมอทุกเย็น ทำแบบนี้มาตลอดจนเรียนจบชั้น ม.3 อย่างไรก็ตามผมก็ชอบที่จะเป็นอย่างนั้น จนอยู่มาวันนึงร้านขายของของแม่และป้าโดนทางเทศบาลไล่ที่ ซ้ำช่วงนั้นแม่ของกระผมได้ตั้งครรภ์น้องคนเล็กขึ้น ถึงกระนั้นยังไม่พอป้าชวนแม่ไปขายของด้วยกัน แต่แม่ก็ปฏิเสธป้าไป เนื่องมาจากเรื่องราวในอดีตมากมายที่ทางผู้ใหญ่ทั้งสองท่านไม่ลงลอยกันแต่ก็ยังคงอาศัยพื้นที่หากินเดียวกันมีการกระแทกกันบ่อยครั้งจนมาถึงปัจจุบันก็ยังคงเป็นปัญหาที่ยังไม่ถูกสะสาง สุดท้ายแม่ก็ต้องหยุดขายของตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของผมก็มีปัญหาเข้ามาทุกวัน ผมเริ่มคิดว่า “ บ้านมันไม่น่าอยู่เอาสะเลย ” แต่นี่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรมากมายนัก

ปี1

                ตอนนี้เองผมเรียนที่ ปวช. ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี แผนก ศิลปกรรม เวลาก็ล่วงเลยจนกระทั่งผมเรียนอยู่ ปวช.3 ซึ่งเวลานี้เองเป็นเวลาของการส่งงาน Final  เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่งานมารวมตัวกันโดยมิได้นัดหมาย “ คือมันเยอะจริงๆ ” ไม่ว่าจะเป็นงานจิตกรรมไทย จิตกรรมสากล ปั้น งานคอมพิวเตอร์ งานเขียนแบบอีกมากที่ยังไม่ถูกจัดการเหลือเวลาไม่นานก็จะจบการศึกษา และที่ที่เดียวที่ดูเหมือนจะสามารถให้เราอยู่ทำงานได้ตลอด (ห้องคุ้ม) ถูกปิดไปเพราะการทำงานนอกเวลาราชการของนักเรียนศิลปะ ผู้อำนวยการสถานศึกษาจึงสั่งห้ามให้นักเรียนอยุ่ใน วิทยาลัยเกิน2ทุ่ม นอกจากมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ช่วยงานอาจารย์หรือทำกิจกรรมให้กับวิทยาลัยเท่านั้น เป็นเหตุให้กลุ่มของข้าพเจ้าเดือดร้อนเป็นอย่างมากต้องหาพื้นที่ใหม่ในการทำงาน ซึ่งก็หาได้ไม่นานนั่นคือ บ้านของผมเอง “ อ่อ! ผมลืมบอกกับท่านผู้อ่านไปอีกอย่างว่าบ้านผมหลังใหญ่เป็นบ้าน 2 ชั้น เป็นหมู่บ้านการเคหะ พ่อกับแม่ตั้งใจซื้อไว้ให้เป็น มรดกของลูกๆ ” ทำได้ประมาณ1สัปดาห์ก็ต้องหาที่ใหม่เพราะเสียงที่ดังมากของผมและเพื่อนๆแม่จึงเอ็ดเอา และก็ไม่นานอีกเช่นเดิมก็มีรุ่นน้องคนนึงเสนอให้ทำที่บ้านเขา น้องคนนี้ทางบ้านของเขาค่อนข้างมีฐานะร่ำรวย พ่อของน้องเขาเปิดบ้านให้พวกผมอยู่ฟรีๆเกือบ2เดือน พ่อของน้องเขาเลี้ยงข้าวพวกผมทุกคืนหมด วันนึงแล้วประมาณ1000 บาทเลยทีเดียว ซึ่งก็เกรงใจมากแต่ก็ปฏิเสธที่จะรับไม่ได้เลยเพราะทางบ้านน้องเขามีเชื้อสายจีน ตามธรรมเนียมแล้วผู้ใหญ่ให้ของห้ามปฏิเสธ ซึ่งพวกผมลำบากใจมากทีเดียวหลังๆจึงกินข้าวไปก่อน แต่ก็ยังซื้อข้าวรอบดึกมาไว้ให้กลัวพวกผมจะหิวเอา สุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้เลย
 ผมลืมบอกไปอีกอย่าง สมาชิกในวงพวกผมมีอยู่ด้วยกัน 6 คน ด้วยกันใน ขณะนั้น คือ จอย ตั๊ก ต่อ น้องเกว (คนที่ให้ที่ทำงาน) ในขณะที่เคลียงานอยู่ที่นั่นชีวิตของวัยรุ่นคนนึงก็อดคิดไม่ได้เลยว่านี่แหละคือ สวรรค์ผมมีเพื่อน มีคนที่เข้าใจผม เพื่อนๆทีไม่เคยเอาเรื่องฐานะมาพูดเลย เพื่อนแต่ละคนก็มีอะไรดีๆในตัวต่างๆกันไป ( ในช่วงที่ความคิดยังเด็กอยู่ ) ตอนนั้นเองที่ผมไม่รู้เลยว่าผมเด็กแค่ไหน จนกระทั่งสะสางงานทุกอย่าง ทั้งเกรดเฉลี่ย ทั้งความรู้สึกมากมายทั้งทุกข์และสุข งานจิตกรรมสากลผมในช่วงจบผมได้ลอกงานหุ่นนิ่ง และงานจิตกรรมไทยผมได้เลือกลอกงานของ อาจารย์ สุวัฒน์ แสนขัติยะโดยใช้สีน้ำเขียนและตัดเส้นทับลงไปในกระดาษร้อยปอนด์ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามันจะตอบสนองได้เป็นอย่างดี ส่วนงานปั้นผมเลือกปั้นเศียรพระก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองก็พอจะปั้นได้

Entrance

          หลังจากวันนั้นก็หลายสัปดาห์อยู่เงียบมากเพราะไม่มีอะไรทำเรียนจบใหม่ๆ กินแล้วก็นอนอยู่บ้านพอมาถึงเวลาสมัครสอบ ติดอยู่ปัญหาเดียวตอนนั้นคือไม่มีเงินไปสมัครสอบ แต่แล้วข้าพเจ้าก็หามาจนได้ ท่านผู้อ่านที่เคารพคงจะสงสัยว่าผมไปหามาได้ยังไง จะขอกล่าวถึงพฤติกรรมของเด็กคนนึงที่ต้องการดิ้นรนที่จะไปตามความฝันของตัวเองด้วยการที่ผมไปขอแม่ไปสอบที่ราชกระบัง คณะ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ผมอยากเรียนอินทีเรียมาก แม่ก็ปฏิเสธผม ด้วยเหตุนี้ผมจึงไปโกหกญาติทางพ่อ (อาไก่) ว่าขอเงินไปเรียนเรียนซัมเมอร์เพราะผมต้องแก้กิจกรรมเพื่อให้มันจบ อาตัดสินใจอยู่นานเขาก็ตอบตกลง แต่ทว่าเขาก็บอกว่าเดี๋ยวเขาจะพาผมไปจ่ายเอง ผมอึ้งและรนรานอยุ่พักนึง ผมก็ตอบไปว่า “ ครับๆๆ “ และรีบขอตัวแกกลับมาก่อน
แต่ด้วยสำนึกที่ไม่เคยทำผิดอะไรมาก่อนเลย ผมจึงกลับไปเล่าความจริงให้ เขา ฟัง เพียงแค่ผมอยากไปสอบที่กรุงเทพฯ เขาก็ไม่ถือโทษโกดผมเลย (ซึ้งมาก) แต่ถึงอย่างนั้นก็สายเกินไป เพราะที่สถาบันดังกล่าวเขาปิดรับสมัครไปแล้วผมเสียใจมาก แต่เหตุการณ์หลายๆอย่างทำให้ผมคิด “ เราไม่ได้ที่นี้เราก็ไปหาที่อื่นสิ ” ผมจึงตัดสินใจไปสอบออินทีเรียที่ เพาะช่างแทน

สู่มหา นคร ฟู่ฟ่า ดินแดนแห่งทวยเทพ

          ในการเดินทางไปสมัครสอบครั้งนี้ก็ไม่ได้ไปอย่างสบายสักเท่าไหร่เริ่มตั้งแต่เวลา 18.00.
ผมและเพื่อนๆอีก 2 คนรวมผมก็เป็น 3 คน โดยสารผ่านทางรถไฟฟ้าสายอีสานเข้าสู่กรุงเทพฯ ระหว่างทางนี่เองคือความระทึกแบบสุดๆ ผมจะเล่าให้เห็นถึงบรรยากาศที่จินตนาการไว้ก่อนขึ้นรถไฟ (รถไฟฟรี ชั้น 3 ) “รถไฟฟรีนี่มันดีจริงๆรัดทะบานเขาช่วยประชาชนในการเดินทางได้มากเลยทีเดียวทั้งมันคงตื่นเต้นมากแน่ๆเลยนานนานจะได้ขึ้นรถไฟกับเขาสักที ครั้งสุดท้ายที่ขึ้นมันก็นานพอตัวตั้งแต่เด้กเลยมั๊งจนจำไม่ได้แล้วจนครั้งนี้ ” และแล้วเหตุการณ์มันก็พลิกผันจินตนาการที่ฝันเฟื่องไปนั้นพังคลืนลงต่อหน้าต่อตา ก้าวแรกที่เท้าก้าวผ่านขึ้นมาบนรถไฟนี้กับแรงปะทะของสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่ผิดกับที่คิดไว้มาก
                ทั้งผู้คนที่แออัด กลิ่นที่เหม็นไม่รู้ใครเป็นใครความสกปรกโสโครกของโบกี้รถไฟในใจตอนนั้นคิดว่ารัฐบาลไม่คิดจะทำความสะอาดรถไฟเลยรึไงทั้งที่เป็นเส้นทางหนึ่งของการคมนาคมในประเทศนอกเหนือจากการโดยสารทางเครื่องบิน ทางรถประจำทาง รถส่วนตัว ยังถือว่ารถไฟก็เป็นของสาธารณะ แต่ดูเหมือนรัฐบาลมัวไปทำอะไรอยู่ทั้งที่จัดได้ว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่สำหรับสังคมในระดับนึงเลยก็ว่าได้ ยังไม่พอเท่านั้นเหลือที่นั่งเพียงที่เดียวนั่งได้ 3 คนพอดียังไม่ทันหายโกรธรัฐบาลเลย  
“ รถไฟบ้านี่มึงจะจอดทุกสถานีเลยรึไงเนี่ย ” จอดแต่ละทีไม่ว่าแต่มันพ่วงโบกี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเสียงก็ดังทุกครั้งที่ต่อโบกี้ “เคริ่งๆๆตึ้ง” ทั้งยังที่พนักพิงต่ำกว่าคอคนมากจะเอาคอพักก็พักไม่ได้ สรุปการเดินทางในคืนนั้นไม่ได้นอนทั้งคืน พอเริ่มเข้ากรุงเทพฯ ก็เริ่มเห็นเมืองตอนเช้ารถไฟขบวนนี้เข้ามาทางห้างสรรพสินค้าฟิวพาร์คและเข้ามาเรื่อยๆจนถึงดอนเมือง และผมและเพื่อนก็ได้ลงที่สถานีนี้ ขณะนี้เวลาก็ 8.00. “ พอดีเป๊ะ ”ไม่ขาดไม่เกินเพราะญาติผู้ใหญ่ท่านนึงของเพื่อนที่เดินทางไปด้วยให้ความอนุเคราะห์ให้ที่พักและไปรับจึงต้องลงที่ดอนเมืองแห่งนี้ หลังจากนี้เป็นต้นไปจนถึงบ้านญาติของเพื่อนผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย หลับตลอดทางจากการเหนื่อยล้าของการนั่งรถไฟขบวนนั้น

วันรับสมัคร

         ตื่นมาวันนี้เวลา 8.00 . วันสุดท้ายของการสมัครญาติของเพื่อนไม่ว่างพาไปส่งเพราะต้องทำมาหากินจึงบอกทางไปเพาะช่างให้พวกผมวันนี้เองที่ผมรู้จักว่ากรุงเทพฯนอกจากจะร้อนแล้วยังมีอากาศที่เหนียวเหนอะหน่ะกว่าต่างจังหวัดหลายเท่า ผมคิดว่าคิดถูกไหมที่มาที่นี่ ผมไม่เห็นอะไรที่จะเหมือนชื่อจังหวัดสักนิดนึง ทั้งผู้คนจำนวนมากที่แข่งขันกัน มันเป็นภาพติดตาจนมาถึงทุกวันนี้ที่มันอึดอัดเหลือเกิน ในใจคิดว่าคนพวกนี้เขาอยู่ได้ยัง เห็นไปถึงความเห็นแก่ตัวของคนในเมืองหลวงนี่หน่ะหรือเมืองแห่งเทพฯมีดีก็แต่ชื่อ พอไปถึงที่สมัครผมเลือกสมัครสอบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์สาขา อินทีเรีย
                การสอบวันแรกเป็นข้อสอบทฤษฎีซึ่งยากเอาการ พอวันที่สองแบ่งเป็น ช่วงเช้าบ่าย
ข้อสอบช่วงเช้า
                เป็นข้อสอบปฎิบัติ ทางเพาะช่างให้วาดภาพใบหน้าหญิงสาวท่านนึงซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ผมก็วาดไปในช่วงเวลานั้นยอมรับเลยว่าผมอ่อนเรื่อง portrait มากสร้างปัญหามากแก่การสอบของผม



ข้อสอบช่วงบ่าย
                ตอนบ่ายเป็นวิชาความถนัด หัวข้อที่ได้ในปีนั้นคือ (ให้ออกแบบร้านขายต้นไม้ที่ทนต่อสภาพแวดล้อมประหยัด โดยประมาณ ) ผมเลือกออกแบบร้านขายกระบองเพร็ชเพราะผมคิดว่าต้นกระบองเพร็ชมันตายยากและทนได้ต่อสภาพของเมืองกรุงเทพฯ แห่งนี้
                พอสอบเสร็จวันนั้นเวลาห้าโมงเย็นผมและเพื่อนๆก็ได้ตกลงกันว่าจะไม่นั่งรถไฟฟรีกลับเป็นอันขาด  “ ทำไมหน่ะหรอคงไม่ต้องอธิบายต่อแล้ว ” พอได้ข้อสรุปดังกล่าวก็รีบโบก Taxxi ไปที่ หมอชิดทันที
ซื้อตั๋วและรอรถจนสี่ทุ่มก็ขึ้นรถกลับมายังอุดรธานี หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ให้หลังผลการ Entrance ก็ออกมาแต่ไปดูไม่ได้เพราะเขาติดไว้ที่บอร์ดในโรงเรียนจะดูก็ต้องขึ้นไปที่กรุงเทพฯอีกแต่โชคดีที่มีรุ่นพี่ของพวกผมศึกษาอยู่ที่นั่นหลายคนจึงโทรไปให้พี่เขาดูให้ผลเป็นไปอย่างที่คาดไว้ไม่มีคนติดเลย “ แต่เดี๋ยว!! เสียงผ่านโทรศัพท์ก็เล็ดลอดมา ไอ้ต่อมึงสอบติดจิตรกรรมไทยหว่ะ ” ฉลองกันอยู่หลายวันแต่ภายในใจลึกๆก็อิจฉาเพื่อนอยู่เหมือนกัน ผมคิดในใจไม่เป็นไรยังมีอีกหลายที่ให้เราเรียนไม่ได้เรียนที่นั่นก็ไม่เห็นตายนิ ผมจึงเลือกมาสอบที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ ผมสอบที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สอบภายใน ซึ่งก็ติดอย่างที่คิดไว้ ในใจเลยคิดว่ามาตรฐานมันต่างกันจริงๆ ตอนนั้นผมชอบสถาปัตเป็นอย่างมาก ผมสามรถบอกได้เลยว่ามาตรฐานของสิ่งของเครื่องใช้มันสูง ยาว กว้าง แค่ไหน สัญลักษณ์ในการเขียนแบบ รวมไปถึงการเขียน CAD คือ โปรแกรมเขียนแบบบ้านของสถาปนิก วิสวะ เขาใช้กัน ในระดับมืออาชีพ
                ในขณะเรียนอยู่ที่ ปวช. ผมทุ่มเทให้กับศาสตร์แห่งสถาปัตยกรรมมาก จนเข้าใจทุกๆอย่างและสิ่งที่ทำให้ผมเห็นว่าทำไมผมถึงสอบไม่ติดที่เพาะช่างคือ จินตนาการในการสร้างสรรค์ด้วยประสบการณ์ของเด็กบ้านนอกที่เล็กน้อยมากถ้าเทียบกับพวกนักเรียนติวที่กรุงเทพฯเพราะผมชอบบ้าน อยากมีบ้านสวยๆ “ มันก็เป็นเพียงความฝันของเด็กคนนึงเท่านั้น” แต่แล้วสถาณการณ์ทางการเงินของครอบครัวที่ไม่มีแรงที่จะส่งไหวผมจึงเลือกที่จะสละสิทธิ์ที่คณะนี้ มาตกลงปลงใจในสิ่งสุดท้ายที่เรียนมาที่พอจะทำได้ คือ วาดรูป ข้าพเจ้าจึงมาสมัครที่ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม



ปี 1

         ครั้งแรกกับการมารายงานตัวที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้บรรยากาศน่าเรียนมาก บวกกับความตื่นเต้นต่างๆนาๆของความแปลกใหม่ที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อนอาคารพละเป็นที่รายงานตัวคนเยอะมากแต่อากาศต่างกันดีที่มันไม่เหนียวเลย คนอื่นๆรอบข้างก็เช่นกันที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นเหมือนๆกัน บ้างก็เก็บอาการไว้ บ้างก็ร้องไห้ที่ต้องจากพ่อกับแม่มาตั้งแต่วันแรกที่มาเรียนที่นี่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยมาส่งผมเลยและจนกระทั่งปัจจุบันนี้ล่าสุดแม่มาบ้านยายเลยแวะมาหาผม (วันที่5มีนาคม พ.. 2555) ผมดีใจมาก กลับมาเรื่องของเราในตอนนั้นก่อนการรับน้องที่รุ่นผมต้องโดนผมคิดว่ามันหนักพอสมควรต้องทนแรงกดดันจากรุ่นพี่เป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมจริงๆผมจะไม่ขอเล่ารายละเอียดปลีกย่อยเพราะเรื่องแบบนี้มันอยู่ที่คุณจะนึกถึงไม่ได้หรอกถ้าไม่ผ่านการรับน้อง และนี่ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับข้าพเจ้า นายอดิเทพ มีชัยเจริญยิ่ง

ด้วยความเคารพผู้อ่านเสมอ สมองบวม
          

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น